อิทธิพลของสื่อสารมวลชนในทางการเมือง

การสื่อสารทางการเมือง
ความหมายของ การสื่อสารทางการเมือง คือ การแลกเปลี่ยน อภิปราย ถ่ายทอดข่าวสารทางการเมืองต่างๆ ระหว่างสมาชิกในสังคมการเมือง ทําให้สมาชิกต่างๆ นี้ยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองนั้นๆ ด้วย ซึ่งการสื่อสารทางการเมืองในแต่ละสังคมการเมืองนั้นจะเป็นเช่นไร ย่อมขึ้นอยู่กับบริบททางการเมืองของแต่ละสังคมนั้นด้วย หากเป็นสังคมประชาธิปไตย การสื่อสารทางการเมือง ย่อมมีอิสระ และหลากรูปแบบ
ความหมายของ การสื่อสารทางการเมือง เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ทัศนะความคิดเห็น ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆทางการเมืองระหว่างบุคคล ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของสังคมการเมือง โดยที่ระบบการเมืองหรือรัฐบาลจะได้หาช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบนโยบาย และกิจกรรมของรัฐบาลกับการที่ประชาชนจะได้เรียนรู้ถึงนโยบายและกิจกรรมต่างๆ อันมีผลกระทบกับต่อประชาชน โดยที่
1. เกี่ยวข้องกับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือมากกว่านั้น
2. เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการเมือง
3. เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันทางการเมือง

ช่องทางการสื่อสารทางการเมือง
1.ช่องทางการสื่อสารที่เป็นองค์กร ประกอบด้วยสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ระบบราชการ หรือกลุ่มมวลชนอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมประชาชนเข้ากับผู้นําได้ ซึ่งองค์กรเหล่านี้ อาจมีโครงสร้างที่ถาวรหรือกึ่งถาวรก็ได้ และอาจไม่จําเป็นที่จะต้องทําหน้าที่ติดต่อกัน
2.ช่องทางการสื่อสารประเภทกลุ่ม ช่องทางการสื่อสารลักษณะนี้จะมีลักษณะถาวรแต่มีความเป็นสถาบันและแพร่หลายน้อยกว่า เช่น กลุ่มแม่บ้านทหารบก กลุ่มสมาคมศิษย์เก่า หรือกลุ่มภายในเพื่อนฝูง การสื่อสารภายในกลุ่มเช่นนี้ จะมีความเป็นทางการน้อยกว่าการสื่อสารภายในองค์กร นอกจากนี้การสื่อสารภายในกลุ่ม ยังเป็นแหล่งของการแลกเปลี่ยนข่าวสารความคิดตลอดจนอิทธิพล ซึ่งทําให้ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจในทางการเมืองเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ระดับต่ําสุดจนถึงสูงสุด
3. ช่องทางการสื่อสารที่เป็นสื่อมวลชน ในปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ได้รับทราบข่าวสาร ตลอดจนการทํางานของระบบการเมืองจากสื่อมวลชน สื่อมวลชนทําให้ข่าวสารเดินทางไปได้มากกว้า ไกลกว่าและเร็วกว่า และทําให้ข่าวสารสาธารณะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ตลอดจนทําให้การเผยแพร่ข่าวสารกลายเป็นกิจการที่มีบทบาทสําคัญในสังคม ประชาชนก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง โดยอาศัยสื่อมวลชน
4.ช่องทางการสื่อสารสําหรับการแสดง และการรวบรวมผลประโยชน์ช่องทางนี้ จะไม่ถูกนํามาใช้ตลอดเวลา แต่จะใช้เฉพาะบางเวลาและเหตุการณ์ที่เหมาะสม เช่น การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง

บทบาทของการสื่อสารในทางการเมือง
การสื่อสารมวลชนมีบทบาทในทางการเมืองโดยเราสามารถพิจารณาได้นับตั้งแต่ช่วงที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475เป็นต้นมา  กระบวนการสื่อสารมวลชนยิ่งเข้ามามีบทบาทต่อการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่ชัดเจน ดังนี้
1. บทบาทการถ่ายทอดความรู้ ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง
2. บทบาทการเป็นเครื่องมือตรวจสอบทางการเมือง และ
3. บทบาทการเป็นพื้นที่ประสานความเข้าใจทางการเมือง

1.บทบาทการถ่ายทอดความรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง
บทบาทการถ่ายทอดความรู้ ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองของสื่อมวลชน ในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปตามที่มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลแต่ละสมัย โดยในยุคของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหารหรือมาจากการเลือกตั้งแต่มีฐานทางการทหารหนุนหลัง บทบาทนี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เป็นสื่อของรัฐบาล ขณะที่สื่อหนังสือพิมพ์ก็ถูกควบคุมอย่างหนักจนต้องกลายเป็นพวกของรัฐบาล ดังข่าวที่ชี้ให้เห็นชัดคือ ข่าวการประกาศคำสั่งกระทรวงมหาดไทยให้ตำรวจ จดชื่อคนที่มีหัวคอมมิวนิสต์ แล้วส่งเพื่อพิจารณาโทษ (เดลิเมล์, 1 กันยายน 2493: 1)
ในสมัยของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หรือข่าวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้สื่อรัฐตอบโต้ฝ่ายค้านและขู่จะจัดการกับฝ่ายค้านรวมทั้งสื่อที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล (เดลิเมล์, 9 สิงหาคม 2501: 1) ขณะที่บทบาทนี้สื่อได้แสดงชัดเจนในยุคสมัยที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ที่แสดงความเห็นผ่านสื่อได้ชัดเจนในกลุ่มข่าวเกี่ยวพันกับการเลือกตั้ง การแต่งตั้งฝ่ายบริหาร
 การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ที่เปิดกว้างมากที่สุดในบทบาทนี้คือช่วงสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีที่เปิดเสรีให้สื่อรายงานข่าวที่เป็นจริงทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบ และได้ประกาศยกเลิก ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 หรือ ปร.42 ซึ่งเป็นประกาศควบคุมเสรีภาพสื่อมวลชนกลุ่มหนังสือพิมพ์ที่ชัดเจน (เดลินิวส์, 25 พฤษภาคม 2533: 4)
ขณะที่ยุคช่วงพ.. 2535-2552 ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและการเปิดกว้างของรัฐธรรมนูญ ทำให้สื่อมวลชนมีความหลากหลาย ทั้งโครงสร้าง และที่มา รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสื่อที่แตกต่างกัน เพราะสื่อไม่ได้อยู่ในการควบคุมของรัฐแบบเบ็ดเสร็จดังอดีต โดยเฉพาะสื่อใหม่ที่ใครก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ ทำให้พบได้ว่าบทบาทการให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองของสื่อมวลชนในช่วงนี้ บางส่วนขาดความน่าเชื่อถือในข้อมูลข่าวสารที่มีผ่านสื่อมากมายจนอาจจะเรียกว่าเป็นขยะ เพราะมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ขาดการตรวจสอบที่ดี
การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน ก็ถือได้ว่าทำให้ประชาชนมีโอกาสได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย จนอาจจะกล่าวได้ว่า ณ ปัจจุบัน ความรู้ ความเข้าใจทางการเมืองของประชาชน เป็นผลจากการเรียนรู้ผ่านสื่อมวลชนมากกว่าการเรียนรู้โดยตรงจากสถาบันการศึกษาหรือจากช่องทางการสื่อสารอื่นๆ

2. บทบาทการเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบทางการเมือง
บทบาทการเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบทางการเมือง ถือเป็นบทบาทที่สำคัญของสื่อมวลชนในการแสดงออกทางการเมืองตามทฤษฎีเสรีนิยม เพราะการแสดงออกในบทบาทด้านนี้จะเป็นตัววัดว่า เป็นการเปิดกว้างในการให้เสรีภาพกับสื่อมวลชน ที่ถือว่าเป็นการให้เสรีภาพของคนทุกกลุ่มในสังคมและการเมืองในสมัยที่รัฐบาลมาจากการปฏิวัติ รัฐประหาร หรือมาจากการมีฐานอำนาจทางการทหารหนุนหลัง จะพบบทบาทนี้ของสื่อมวลชนไม่มากนักหรือทำได้ไม่เต็มบทบาท อย่างเช่นสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีข่าวการคัดค้านการที่รัฐบาลพาประชาชน 18 ล้านคนเข้าร่วมสงครามเกาหลี(เดลิเมล์, 5 กรกฎาคม 2493: 6)
การทำหน้าที่ในการตรวจสอบทางการเมืองโดยมีสาระสำคัญ คือ
1. ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่าในขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นในสังคมด้วยการตรวจตรา (Surveillance) หรือการแจ้งเหตุ (Monitoring)
2. การให้การศึกษาแก่ประชาชนถึงความหมาย และความสำคัญของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
3. การเสนอประเด็นทางด้านนโยบายเพื่อให้มีการถกเถียง แลกเปลี่ยนทางการเมือง หรือแสดงความคิดเห็นสาธารณะ โดยเฉพาะต้องเปิดโอกาสต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง หลากหลาย ซึ่งมีความสำคัญต่อวิถีประชาธิปไตย
4. การตรวจสอบรัฐบาล และสถาบันทางการเมืองทั้งหลายให้ดำเนินการตามบทบาท หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
5. เป็นช่องทางสำหรับสนับสนุนความคิดเห็นทางการเมือง เช่น พรรคการเมืองต้องการช่องทางในการนำเสนอนโยบาย หรือโครงการต่าง ๆ ไปสู่การรับรู้ของประชาชน
6. สื่อมวลชนทำหน้าที่สอน หรือให้ความรู้แก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ ให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อประชาชนจะได้ตัดสินใจในการเลือกตั้ง หรือเป็นช่องทางอิสระในการสื่อสารทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายในสังคม
7.สื่อมวลชนทำหน้าที่ในการจุดประเด็น ให้ประชาชนต่อต้านการใช้อำนาจในทางที่ผิดของผู้บริหารประเทศ หรือวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานที่ไม่เหมาะสม หรือไร้ประสิทธิภาพ
ในทางการเมืองการสื่อสารมวลชน มีส่วนช่วยดำรงไว้ซึ่งคะแนนนิยมของมวลชน และทำให้กลุ่มการเมืองสามารถคงอำนาจทางการเมืองเอาไว้ แต่ก็ถูกติดตามตรวจสอบทุกฝีก้าวโดยกระบวนการสื่อสารมวลชน หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า  สื่อสารมวลชนมีบทบาทอย่างสำคัญเป็นการพัฒนาสังคมประชาธิปไตย
กล่าวคือ รากฐานของสังคมประชาธิปไตย “ความคิดเห็นสาธารณะ” จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนมาพบปะกันในเวทีสาธารณะ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างอิสระเสรี มีเหตุผล และมีจิตใจที่วิพากษ์ต่อการทำของรัฐ นี่คือรูปแบบที่สำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย (เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส ; Habermas .)
3.บทบาทการเป็นพื้นที่ประสานความเข้าใจทางการเมือง
บทบาทการเป็นพื้นที่ประสานความเข้าใจทางการเมือง เป็นบทบาทจากทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ยึดถือแนวคิดการเปิดเสรีภาพให้กับสื่อมวลชนอย่างเต็มที่ โดยมีการควบคุมดูแลโดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนและกลุ่มผู้รับสารในสังคมตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญเท่านั้นบทบาทนี้ในแต่ละยุคสมัยของรัฐบาล ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน จะมีลักษณะการจัดพื้นที่ในสื่อเพื่อนำเสนอในประเด็นที่แตกต่างกัน โดยยุคสมัยที่มีผู้นำมาจากอำนาจการรัฐประหาร ปฏิวัติ จะพบเห็นเพียงพื้นที่สื่อ ที่สอบถามแค่ความคิดเห็นด้านปากท้อง หรือเรื่องของการเมืองที่ห่างจากตัวฝ่ายบริหารที่กุมอำนาจ และจะไม่มีประเด็นทางการเมืองที่กระทบต่อผู้นำ
ในภาพรวมจนถึงปัจจุบันนั้น บทบาทการเป็นพื้นที่ประสานความเข้าใจทางการเมือง มีความแตกต่าง ในแต่ละยุคสมัยของรัฐบาล ซึ่งมีการให้เสรีภาพสื่อมวลชนที่แตกต่างกัน แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยทำให้ใคร กลุ่มใดๆ เป็นเจ้าของสื่อ โดยเฉพาะสื่อสมัยใหม่และใช้ประโยชน์ได้ไม่มีขีดจำกัด นอกเหนือการที่จะควบคุมได้ดังอดีต ทำให้บทบาทนี้มีความหลากหลายมากขึ้น และบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาต่อสังคมเช่นกัน เพราะคนบางกลุ่มใช้ประโยชน์จากสื่อเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือพวกพ้องตัวเอง มากกว่าที่จะมองความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นหลัก(สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล, สัมภาษณ์)

แนวทางพัฒนาบทบาทสื่อมวลชนเพื่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง
สำหรับแนวทางพัฒนาสื่อมวลชนควรจะเริ่มต้นจากด้านการบริหารจัดการภายในองค์กรที่กี่ยวข้อง โดยองค์กรสื่อมวลชนควรจะต้องเป็นอิสระจากรัฐบาล ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทุนเจ้าของสื่อหรือทุนทางการเมือง มีการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร ให้มีความรู้ความสามารถ ในงานข่าวสารทางการเมืองอยู่เสมอ และต้องยึดถือการทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก และไม่ใช้เสรีภาพที่มีในการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนในการปลุกระดม ใช้ความรุนแรง ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงขณะที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน จะต้องทำหน้าที่ กำกับดูแลเรื่องจรรยาบรรณ จริยธรรม คุณธรรมของสื่อมวลชน ด้วยการไม่ให้ร้ายผู้อื่น หรือละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่ชัดเจน เพื่อคุ้มครองผู้เกี่ยวข้อง และมีความพร้อมที่จะตรวจสอบสื่ออย่างจริงจัง ไม่ใช่มีไว้เพื่อพิทักษ์ประโยชน์สื่อด้วยกันเอง ส่วนองค์กรภาคประชาสังคม จะต้องเป็นตัวแทนของประชาชนกลุ่มต่างๆ ด้วยความตื่นตัว เพื่อที่จะทำให้สื่อมีความหวาดกลัวนำไปสู่การปรับพฤติกรรม ขณะเดียวกัน กฎหมายการควบคุม ควรต้องมีความทันสมัยและสามารถบังคับใช้อย่างทั่วถึง
สำหรับแนวทางในการพัฒนาสื่อมวลชนในด้านการแสดงบทบาททางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนนั้น แยกออกตามบทบาทในแต่ละด้านคือ
1.             บทบาทการถ่ายทอดความรู้ ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง แนวทางในการพัฒนาคือ การพัฒนาเนื้อหาข้อมูล ข่าวสาร ที่จะต้องมีองค์ประกอบคือ
1.1.  มีคุณภาพจากการคัดกรองและผ่านการตรวจสอบจากผู้มีหน้าที่ที่มีประสบการณ์ และต้องไม่มีปัจจัยอื่นใดมามีผลต่อการตัดสินใจ นอกเหนือจากการที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ต่อสังคมเป็นหลัก
1.2.  มีความรวดเร็วถูกต้องในเหตุการณ์ หรือประเด็นที่เกิดขึ้น
1.3.  การจัดพื้นที่ต้องเพียงพอที่จะรองรับเนื้อหาที่ครอบคลุม รอบด้านในประเด็นเดียวกัน
2. บทบาทการเป็นเครื่องมือตรวจสอบทางการเมือง ทิศทางในการพัฒนาของสื่อมวลชนคือ การชี้แนะ วิพากษ์วิจารณ์ จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ
2.1. มีข้อมูลที่มาจากความถูกต้องเป็นจริง และการตัดสินใจโดยเหตุผล ที่มาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
2.2.  มีเป้าหมายในการรณรงค์ให้ยุติความขัดแย้งทางการเมือง ส่งเสริมให้เกิดความรัก สามัคคีในสังคม
2.3. กระตุ้นให้สังคมเกิดการยอมรับกฎหมายของประเทศ
2.4. ทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ไร้อคติ และต้องไม่ชี้นำ ภายใต้ความกดดันของปัจจัยต่างๆ และ
3.             บทบาทการเป็นพื้นที่ประสานความเข้าใจทางการเมือง ซึ่งในบทบาทนี้ สื่อมวลชนต้องพัฒนาให้เกิดความพร้อมของพื้นที่การนำเสนอข้อมูล ที่มีองค์ประกอบต่อไปนี้คือ
3.1. ให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองใช้พื้นที่อย่างเท่าเทียมในประเด็นเดียวกัน
3.2. ให้กลุ่มการเมืองอื่นที่ไม่ได้ขัดแย้ง หรือภาคประชาสังคม นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมใช้พื้นที่ในประเด็นที่ขัดแย้ง
3.3. ให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบในประเด็นการเมืองได้ใช้พื้นที่อย่างทั่วถึงและเสมอภาค

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นจาก Almond and Verba  เกี่ยวกับการสื่อสารกับการเมืองว่า เป็นสิ่งที่ช่วยในการการมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือเป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย (democratic competence) ซึ่งเป็นความรู้สึกทางการเมืองที่จําเป็นสําหรับการดําเนินการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการมีข้อมูลข่าวสารที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับประเด็นปัญหา และกระบวนการทางการเมือง รวมทั้งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้ข้อมูลข่าวสารในการวิเคราะห์ทําความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ การที่บุคคลมีข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้นจะทําให้บุคคลมีการประเมินคุณค่าและกําหนดข้อตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ได้อย่างมั่นคงขึ้น เช่น ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง บุคคลที่ตัดสินใจว่าจะลงคะแนนเสียงผู้ใดในระยะใกล้ๆ กับวันเลือกตั้ง มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ข่าวสารเกี่ยวกับผู้สมัคร หรือนโยบายต่างๆ น้อยกว่าผู้ที่ได้กําหนดข้อตัดสินใจของตนไว้ล่วงหน้า

***ข้อมูลอยู่ระหว่างการอ้างอิงจากเอกสาร***
1.เอกสารประกอบการบรรยาย 
2.เอกสารประกอบการเรียน

1 ความคิดเห็น: