แนวคิดของ Jurgen Habermas
ในปลายปี 2005 รัฐบาลนอร์เวย์ได้ประกาศให้รางวัลอันทางเกียรติที่เรียกว่า Holberg
Prize แก่ศาสตราจารย์เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส โดยสดุดีว่า ฮาเบอร์มาสเป็นนักวิชาการที่มีผลงานสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนมีความเข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่อง
การสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal communication) และวาทกรรมสาธารณะ (public discourse) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้สร้างทฤษฎีต่างๆขึ้นมาเกี่ยวกับวาทกรรม
และการปฏิบัติการด้านสื่อสาร (human
communication action) ซึ่งเป็นการบุกเบิกแนวคิดใหม่ๆ
ในการมองเรื่องกฎหมายและประชาธิปไตย
เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส
เกิดในปี 1929 ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย Johann
Wolfgang Goethe ของเมือง Frankfurt am
Main ประเทศเยอรมนี ฮาเบอร์มาสอยู่ในกลุ่มของนักคิดนักปรัชญาที่ไม่ยึดติดกับสาขาวิชาใดๆ
นั่นคือ มีจุดยืนแนวสหวิทยาการ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ
ของมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผลงานของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา จริยศาสตร์
ทฤษฎีสังคม สังคมวิทยา ทฤษฎีการเมือง กฎหมาย และทฤษฎีนิติศาสตร์ นอกจากนี้ฮาเบอร์มาสยังเสนอความคิดเห็นต่างๆ
อย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับปัญหาของการรวมยุโรป
ซึ่งเขาคิดว่าเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมการเมือง
ในด้านพัฒนาการของทฤษฎีสังคม
ฮาเบอร์มาสเป็นผู้นำคนสำคัญของสำนักที่เราเรียกว่า Frankfurt School
of Critical Theory ซึ่งมีรากฐานทางด้านวิชาการและงานวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยแฟรงค์เฟิร์ต
มาตั้งแต่ยุคฮิตเลอร์ (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) จุดมุ่งหมายของทฤษฎีแนวนี้คือ
ทำการตรวจสอบทฤษฎีสังคมที่ดำรงอยู่ และพัฒนาทฤษฎีแนวใหม่ขึ้นมาที่ใช้หลักการ “วิพากษ์” (critical) และนำหลักการนี้มาเป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ระบบสังคมสมัยใหม่
งานส่วนหนึ่งของฮาเบอร์มาสเป็นการพัฒนาทฤษฎีแนววิพากษ์ (ตัวอย่างข้อเขียนที่สำคัญๆ แปลจากต้นฉบับภาษาเยอรมัน ดู Seidman,
1989)
นอกจากนั้น
ทฤษฎีวิพากษ์ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างงานเขียนชิ้นสำคัญๆ ทางด้านปรัชญาซึ่งฮาเบอร์มาสพยายามนำเอาแนวคิด “ความมีเหตุผล” (rationality) มาเชื่อมโยงกับ “การปฏิบัติการด้านสื่อสารของมนุษย์”
(human communication action)
ในวิทยานิพนธ์ฉบับที่ 2
(post-doctorate หรือ thesis เพื่อเข้าดำรงตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเยอรมัน) ที่ชื่อ “The Structural Transformation of the Public
Sphere” (เยอรมัน1962; อังกฤษ 1989) ฮาเบอร์มาสทำการวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ (Modern Society) ว่าเป็นสังคมที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับ “พื้นที่สาธารณะที่เป็นอิสรเสรี (liberal public sphere)การวิเคราะห์ของฮาเบอร์มาสมีข้อสรุปว่า
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่สาธารณะนั้นกฎหมายและนิติรัฐค่อนข้างจะหมดความหมาย
เพราะไม่มีพื้นฐานของสังคมมารองรับ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมแต่อย่างใด (Habermas,
1989)
ภาษา วาทกรรม และการวิพากษ์สังคม
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1970 ฮาเบอร์มาสเริ่มเข้าสู่แนวคิดที่ให้ความสำคัญแก่เรื่อง “ภาษา” (linguistic turn) ฮาเบอร์มาส
พูดถึงสิ่งที่ทำให้เขาเรียกว่า “ideal speech situation” ซึ่งเป็นสถานการณ์ทางภาษาแบบอุดมคติ
ซึ่งควรจะนำมาใช้ในทุกสังคมทุกหนทุกแห่งที่มนุษย์ทำการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ฮาเบอร์มาสนำแนวคิดนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการวิจารณ์สังคมว่าเป็นอิสระหรือไม่ (social criticism) ในขณะเดียวกันก็ใช้แนวคิดนี้เป็นแบบจำลองในการสร้างสังคมใหม่
ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น (ดูการวิเคราะห์ในตอนต่อๆ ไปของบทความนี้)
อย่างไรก็ตาม ฮาเบอร์มาสก็มองเห็นข้อจำกัดของแนวคิด “ideal
speech situation” ของตนเอง
และคิดว่าอาจจะต้องพบกับความลำบากในการปลดปล่อยสังคม (social
emancipation)เนื่องจากฮาเบอร์มาสมองว่า
ระบบสังคมสมัยใหม่มีแนววิวัฒนาการไปสู่ความซับซ้อนมากขึ้น (systematic complexity) ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมองเห็นความโปร่งใสทางวาทกรรมในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ideal speech
situation ที่มนุษย์สื่อสารกันอย่างอิสรเสรีไร้การถูกครอบงำ/ควบคุม และอยู่ในสถานการณ์ที่โปร่งใส
อาจจะไม่สามารถนำมาเป็นหลักการที่ใช้ในการจัดการระบบสังคมได้ มิติทางวาทกรรมต้องมีมิติอื่นๆ
มาสนับสนุน
ด้วยเหตุนี้
ฮาเบอร์มาสจึงนำเอาหลายแนวคิดมาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
ซึ่งทำให้เกิดพลังมากขึ้นในการสร้างแบบจำลองอันเป็นอุดมคติ (normative
model) ฮาเบอร์มาสพูดถึง 3สิ่ง
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความคิดของเขาตลอดชีวิตความเป็นนักวิชาการ (Habermas,
2004) นั่นคือ พื้นที่สาธารณะ วาทกรรม และเหตุผล
โลกชีวิต V. ระบบ
ในผลงาน The
Theory of Communicative Action (เยอรมัน 1981; อังกฤษ 1984/89) ฮาเบอร์มาสได้ทำการปรับทฤษฎีสังคมใหม่โดยนำเอาแนวคิด 2 เรื่องมาเชื่อมโยงกันคือ life-worldกับ system
(โลกชีวิต กับระบบ) ใน “ระบบ” ดังเช่นระบบทุนนิยมสมัยใหม่
มีสื่อหลายอย่าง เช่น เงินตรา กฎหมาย อำนาจทำหน้าที่เป็น “กลไก” ในการทำให้ระบบดำรงอยู่ได้อย่างเป็นปึกแผ่น
แต่ในขณะเดียวกัน “สื่อ” เหล่านี้
ก็มีแนวโน้มในการคุกคาม “โลกชีวิต” ของผู้คน โดยการควบคุม/ครอบงำ
และทำลายพื้นฐานของชีวิต ไปจนถึงบิดเบือนวิถีการสื่อสารระหว่างมนุษย์
ซึ่งฮาเบอร์มาสใช้คำว่า “colonization of the life-world” (ดูข้อเขียนของฮาเบอร์มาส, Seidman, 1989)
“พื้นที่สาธารณะ” ที่เรากำลังพูดถึงในบทวิเคราะห์นี้ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกรุกล้ำ/ครอบงำโดยสื่อ อย่างเช่น เงินตรา อำนาจ และกฎหมาย
ซึ่งจำกัดศักยภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งปัญหาสำคัญคือ เราจะมีวิธีการป้องกันอย่างไรโดยไม่ให้อำนาจรัฐ และทุนนิยม (ซึ่งเป็นอำนาจของระบบ) ขยายอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาควบคุมโลกชีวิตและพื้นที่สาธารณะได้โลกชีวิตและพื้นที่สาธารณะจะสามารถป้องกันตัวเองได้หรือไม่
และเราจะยุติ/ยับยั้งการคุกคามของระบบได้อย่างไร
ดูเหมือนว่าฮาเบอร์มาสจะชี้คำตอบบางอย่างที่แสดงให้เห็น “ศักยภาพการต่อต้าน” ว่าโลกชีวิตต้องใช้กลไกทางด้านปฏิบัติการด้านสื่อสาร (communicative
action) โดยดำเนินการอภิปรายอย่างอิสรเสรีผ่านกระบวนการเคลื่อนไหวสังคมแนวใหม่ (new
social movement) โดยใช้พื้นที่สาธารณะที่หลากหลาย เพื่อผลิตซ้ำทางการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง (Habermas,
1996) ซึ่งฮาเบอร์มาสไม่ได้บอกชัดเจนว่าแม้ว่าการปฏิบัติการด้านสื่อสารจะมีศักยภาพ
แต่โลกชีวิตจะมีพลังอำนาจที่แท้จริงหรือไม่ในการต่อต้านหรือคานอำนาจกับระบบ
ในระยะหลังๆ
ฮาเบอร์มาสหันมาให้ความสนใจแก่ทฤษฎีจริยศาสตร์ และกฎมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลงาน Moral
Consciousness and Communicative Action (เยอรมัน 1983;อังกฤษ 1990) เขาได้นำเสนอทฤษฎีสำคัญที่เรียกว่า theory
of discourse ethics (จริยศาสตร์แนววาทกรรม) ซึ่งสรุปหลัก คือ
การวิเคราะห์สังคมสมัยใหม่ต้องให้ความสำคัญแก่เรื่องโครงสร้างทางจริยธรรม
และศีลธรรม และต้องใช้แนวคิดทฤษฎีทางด้านนิติศาสตร์มาผสมผสานด้วย (Habermas,
1990)
ในผลงานใหม่ๆ เช่น Between
Facts and Norms (เยอรมัน 1992; อังกฤษ 1996) ฮาเบอร์มาส ย้ำว่าเป็นการนำเอาทฤษฎีวาทกรรมมาวิเคราะห์กฎหมายและประชาธิปไตย (Contributions to Discourse theory of Law and
Democracy) ในผลงานนี้ฮาเบอร์มาสยังได้ให้คำตอบด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะควบคุมการแผ่อำนาจของระบบได้?
ซึ่งคำตอบก็คือ กฎหมายไม่ใช่เป็นกฎหมายที่มาจากข้างบน
หากแต่เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการทางวาทกรรมของสาธารณะ
ผ่านอำนาจทางการสื่อสารจากผู้คนที่อยู่ข้างล่างส่งไปสู่ข้างบน
และนิติรัฐที่เป็นประชาธิปไตยพร้อมด้วยหลักการที่สำคัญต่างๆ เช่น
อำนาจตุลาการและหลักสิทธิมนุษยชนในการควบคุมอำนาจทางการเมืองของฝ่ายบริหาร
กล่าวโดยสรุปว่า
ทฤษฎีวิพากษ์สังคมแนวใหม่จะต้องมีพื้นฐานทางทฤษฎีการเมือง
และนิติศาสตร์มารองรับด้วย ดังที่ปรากฏในผลงาน Between Facts and
Norms ซึ่งฮาเบอร์มาสกล่าวถึงแนวคิด deliberative democracy (ประชาธิปไตยที่มีการอภิปราย
การถกเถียง การแสดงออกทางความคิดอย่างอิสรเสรีและกว้างขวาง) และมองว่ากลไกที่สำคัญก็คือ วาทกรรมสาธารณะ (public
discourse) และพื้นที่สาธารณะทางการเมืองของประชาชนนั่นเอง (political
public sphere) ซึ่งจะส่งข้อมูลข่าวสารไปยังพื้นที่สาธารณะ “ที่เป็นทางการ” ของสถาบันการเมือง กฎหมาย
และตุลาการ (Habermas, 1996, บทที่ 7 และบทที่ 8 ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง deliberative
politics, civil society และ political public
sphere)
ความหมายของพื้นที่สาธารณะ
ในบทวิเคราะห์สั้นๆ “The
Public Sphere” ฮาเบอร์มาสให้ความหมายไว้ดังนี้ :
“By public sphere we mean
first of all a domain of our social life in which such a thing as public opinion
can be formed. Access to the public sphere is open in principle to all
citizens.” (Habermas, สารนิพนธ์ใน Seidman,
1989, p.231)
ตามความหมายดังกล่าว
พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ของชีวิตสังคมที่เปิดกว้างให้แก่ทุกคน
เพื่อเข้ามาร่วมกันสร้าง “ความคิดเห็นสาธารณะ”
พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงสังคมกับรัฐ
เป็นพื้นที่ที่ผู้คนในสังคมมาร่วมกันทำหน้าที่วิพากษ์ วิจารณ์
และควบคุมการทำงานของอำนาจรัฐ ตามความหมายของฮาเบอร์มาส : The term
“public opinion” refers to the functions of criticism and control of organized
state authority. (Habermas, สารนิพนธ์, 231)[1] ลักษณะเด่นของพื้นที่สาธารณะ คือการสนทนา/ อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้นโดยไม่มีการบังคับข่มขู่ ชักจูง คุกคาม
หรืออกคำสั่ง ในคำพูดของฮาเบอร์มาส:
“A portion of the public sphere is
constituted in every conversation…citizens act as a public when they
deal with matters of general interest without being subject to coercion.” (Habermas, สารนิพนธ์, p.231)
ตามความคิดของฮาเบอร์มาส
พื้นที่สาธารณะ มีความสำคัญมากในการเมืองแบบ deliberative politics โดยทำหน้าที่เป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่าง “รัฐ” และ “สังคม”
นอกจากนี้ พื้นที่สาธารณะมีหลายแบบหลายประเภท
เช่น พื้นที่สาธารณะทางศิลปวัฒนธรรม พื้นที่สาธารณะทางวรรณกรรมโดยเฉพาะ เป็นต้น
แต่สิ่งที่ฮาเบอร์มาสให้ความสำคัญสูง เห็นจะเป็น พื้นที่สาธารณะทางการเมือง หรือ political
public sphere ซึ่งมีความหมายอย่างมากต่อการพัฒนาระบบประชาธิปไตย
แบบ deliberative democracy ในคำนิยามของฮาเบอร์มาส :
“We speak of a political public
sphere…when the public discussions concern object connected with the
practice of the state. The coercive power of the state is the counterpart, as
it were, of the political public sphere, but it is not a part of it”
(Habermas, สารนิพนธ์, p.231)
อำนาจรัฐ
จะเป็นพื้นที่สาธารณะก็ต่อเมื่อ อำนาจรัฐวางนโยบายสาธารณะ และดำเนินมาตรการสาธารณะ
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม และอยู่ภายใต้การควบคุม/ การตรวจสอบของประชาชนที่อยู่ภายในพื้นที่สาธารณะทางการเมือง
1. เอกสารอ่านเพิ่มเติม "กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแนวใหม่"
2.เอกสารประกอบการบรรยาย PPT
3. ทฤษฎีวิพากษ์ของฮาเบอร์มาส
อ้างอิง
1. เอกสารอ่านเพิ่มเติม "กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแนวใหม่"
2.เอกสารประกอบการบรรยาย PPT
3. ทฤษฎีวิพากษ์ของฮาเบอร์มาส
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น